ติกะ หมวด ๓
อกุศลวิตก ๓
อกุศลวิตก แปลว่า ความนึกคิดที่ไม่ดี ไม่ฉลาด
๑.กามวิตก นึกคิดเรื่องกาม หมายถึง การคิดถึงแต่เรื่องที่จะสนองความต้องการของตนเองให้สมปรารถนา
๒.พยาบาทวิตก นึกคิดเรื่องพยาบาท หมายถึง การผูกใจเจ็บ ผูกอาฆาตพยาบาท คิดหาทางแก้แค้นคู่อริให้พินาศ
๓.วิหิงสาวิตก นึกคิกเรื่องเบียดเบียน หมายถึง ความคิดที่ต้องการเห็นคู่อริหรือผู้อื่นประสบความทุกข์ยากลำบาก พอใจที่ผู้อื่นเดือดร้อน
กุศลวิตก ๓
กุศลวิตก แปลว่า ความนึกคิดที่ดีงาม คิดอย่างชาญฉลาด เป็นความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
๑.เนกขัมมวิตก นึกคิดเรื่องออกจากกาม หมายถึง การคิดหาวิธี แก้ไขนิสัยเห็นแก่ตัว ด้วยการหลีกหนีให้ไกลจากสิ่งดึงดูดใจ
๒.อพยาบาทวิตก นึกคิดเรื่องไม่พยาบาท หมายถึง ความคิดที่ประกอบด้วย เมตตา คือ การปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขยิ่งๆขึ้นไป
๓.อวิหิงสาวิตก นึกคิดเรื่องไม่เบียดเบียน หมายถึง ความคิดที่ประกอบด้วย กรุณา
อัคคิ ( ไฟ ) ๓
อัคคิ แปลว่า ไฟ ในที่เปรียบกิเลสเหมือนกับไฟที่มี่ความเร่าร้อนเผ่าผลาญจิตใจคนให้ตายจากความดีงาม
๑.ราคัคคิ ไฟคือความกำหนัด หมายถึง ความเร่าร้อนที่เกิดเพราะความรักใคร่ ความอยากได้ของสวยๆงามๆ
๒.โทสัคคิ ไฟคือความโกรธ หมายถึง ความเร่าร้อนที่เกิดเพราะความโกรธขัดเคือง อารมณ์เสีย
๓.โมหัคคิ ไฟคือความหลง หมายถึง ความเร่าร้อนที่เกิดเพราะความหลงไม่รู้จริง โง่งมง่าย ทั้ง ๓ ข้อ จัดเป็นอัคคิ เพราะเป็นสภาพเผาลนสันดานให้ร้อน.
อธิปเตยยะ ๓ (อธิปไตย)
อธิปเตยยะ แปลว่า ความเป็นใหญ่ ได้แก่ บุคคลที่มีความเชื่อมั่นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วปฏิบัติโน้มเอียงไปทางนั้น
๑.อัตตาธิปเตยยะ ถือตนเป็นใหญ่ หมายถึง การยืดถือความคิด การกระทำและคำพูดของตนเองเป็นหลัก
๒.โลกาธิปเตยยะ ถือโลกเป็นใหญ่ หมายถึง การคล้ายตามเสียงข้างมาก เป็นไปตามกระแสสังคม คนส่วนมากว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น
๓.ธัมมาธิปเตยยะ ถือธรรมเป็นใหญ่ หมายถึง การกระทำที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ความจริง ความบริสุทธิ์ยุติธรรม รู้จักผิดชอบ ชั่ว ดี
ญาณ ๓
ญาณ แปลว่า ความหยั่งรู้ ปัญญากำหนดรู้ ได้แก่ การรู้แจ้ง อริยสัจ ๔
๑.สัจจญาณ รู้ความจริง (อริยสัจ ๔ )หมายถึง การรู้แจ้งความจริง ว่า สิ่งสิ่งคือปัญหา นี้คือ สาเหตุของปัญหา นี้คือเป้าหมายการแก้ปัญหา นี้คือวิธีแก้ปัญหา
๒.กิจจญาณ รู้กิจอันควรทำ หมายถึง การรู้แจ้งว่า ควรจะทำอย่างไร บ้างกับปัญหานั้น
๓.กตญาณ รู้สิ่งที่ทำแล้ว หมายถึง การรู้แจ้งว่า สิ่งนั้นตนได้ทำสำเร็จแล้ว
ตัณหา ๓
ตัณหา แปลว่า ความทะยานอยาก ความดิ้นรนแสวงหา
๑.กามตัณหา ความอยากได้กามคุณ หมายถึง ความอยากได้ในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เพื่อสนองความต้องการของตนเอง
๒.ภวตัณหา ความอยากมี หมายถึง อยากเป็นในสิ่งที่ตนเองรัก และชอบใจ
๓.วิภวตัณหา ความไม่อยากมี หมายถึงไม่อยากเป็นในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการไม่ชอบใจในสิ่งที่ตนไม่ต้องการ
ปาฏิหาริยะ ๓
ปาฏิหาริยะ แปลว่า สิ่งที่น่าอัศจรรย์ สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับมนุษย์ปุถุชน เป็นคุณสมบัติของผู้วิเศษ
๑.อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ หมายถึง การแสดงปาฏิหาริย์ด้วยอิทธิฤทธิ์ต่างๆ
๒.อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์ หมายถึง การรู้ความในใจของผู้อื่น รู้เท่าทันความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น
๓.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ หมายถึง คำสอนที่มีเหตุ มีผล ใครนำไปประพฤติปฏิบัติ ย่อมได้รับผลตามนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริยะว่า เป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่า ๒ อย่างข้างต้น
ปิฎก ๓
ปิฎก แปลว่า กระจาด ตะกร้า หรือหมวดหมู่ หมายถึงตะกร้าสำหรับรวบรวมคำสอนในพระพุทธศาสนา เรียกว่า พระไตรปิฎก
๑.พระวินัยปิฎก หมวดพระวินัย หมายถึง พุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจกรรมต่างๆแบ่งเป็น ๕ คัมภีร์ (อาทิกัมมะ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค ปริวาร )
๒.พระสุตตันปิฎก หมวดพระสูตร หมายถึง พระธรรมเทศนา คำบรรยายธรรมต่างๆที่ตรัสให้เหมาะกับอุปนิสัยของแต่ละบุคคลและโอกาส แบ่งเป็น ๕ คัมภีร์ เรียกย่อว่า ( ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย)
๓.พระอภิธรรมปิฎก หมวดพระอภิธรรม หมายถึง หลักธรรมต่างๆที่เป็นคำอธิบายและที่เป็นหลักวิชาล้วนๆที่ไม่เกี่ยวกับบุคคลหรือเหตุการณ์ แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ คือ (ธัมมสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก ปัฏฐาน)
พุทธจริยา ๓
พุทธจริยา แปลว่าการบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธเจ้า
๑.โลกัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก โดยฐานเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คือ ทรงอาศัยพระมหากรุณาเสด็จไปประกาศพระศาสนาเพื่อประโยชน์แก่มหาชนในแคว้นต่างๆ
๒.ญาตัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระญาติ หรือโดยฐานเป็นพระญาติ
๓.พุทธัตถจริยา ทรงประพฤติประโยชน์ โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า เช่นแสดงธรรมโปรดมหาชนและพระญาติ เป็นต้น
วัฏฏะ ( วน ) ๓
วัฏฏะ แปลว่า วนเวียน วงจร หรือเวียนว่ายตายเกิด เป็นสิ่งหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปไม่มีที่สิ้นสุดเรียกว่าไตรวัฏ
๑.กิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส หมายถึง ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นแล้วทำให้ใจเศร้าหมอง
๒.กัมมวัฏฏะ วนคือกรรม หมายถึง การกระทำสิ่งที่และสิ่งที่ชั่ว
๓.วิปากวัฏฏะ วนคือวิบาก หมายถึง การได้รับอันเกิดจากการกระทำนั้น
สิกขา ๓
สิกขา แปลว่า ข้อที่ต้องศึกษา เป็นข้อปฏิบัติสำหรับอบรม กาย วาจา ใจ ให้สูงยิ่งขึ้นไปตามลำดับชั้น เรียกว่า ไตรสิกขา
๑.อธิสีลสิกขา ศึกษาเรื่องศีลอย่างยิ่งยวด หมายถึง การศึกษาข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมกาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยดีงาม
๒.อธิจิตตสิกขา ศึกษาเรื่องจิตอย่างยิ่งยวด หมายถึง การศึกษาข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมจิตให้สงบเป็นสมาธิ มีสติมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน
๓.อธิปัญญาสิกขา ศึกษาเรื่องปัญญาอย่างยิ่งยวด หมายถึง การศึกษาข้อปฏิบัติสำหรับอบรมฝึกฝนปัญญา ให้รู้แจ้งสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
สงเคราะห์มรรค ๘ ลงในไตรสิกขา ดังนี้
๑.สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์ลงใน ศีล
๒.สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะห์ลงใน สมาธิ
๓.สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์ลงใน ปัญญา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น