ทสกะ คือ หมวด ๑๐
อกุศลกรรมบถ ๑๐
อกุศลกรรมบถ หมายถึง กรรมที่เป็นทางแห่งอกุศลทางที่ผู้ใดทำแล้วถือว่าเป็นการทำความชั่ว อกุศลกรรมบถกับทุจริต ๓ เมื่อกล่าวโดยเนื้อหาก็เหมือนกัน เพียงแต่มีความมุ่งหมายต่างกัน ทุจริต มุ่งกล่าวความประพฤติของบุคคล มุ่งแสดงกิริยาคือความทำ ส่วนอกุศลกรรมบถ มุ่งกล่าวความชั่วที่บุคคลประพฤติ มุ่งแสดงถึงกรรมคือสิ่งที่บุคคลทำ
๑. ปาณาติบาต หมายถึง การฆ่าสัตว์ การทำให้สัตว์ที่ยังเป็นอยู่ให้เสียชีวิต สัตว์ในที่นี้หมายเอาทั้งมนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉาน ไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ ถ้ามีเจตนาฆ่าสัตว์นั้นให้ตาย เรียกว่า ฆ่าสัตว์
๒. อทินนาทาน หมายถึง การลักทรัพย์ รวมไปถึงการเบียดบัง ฉ้อ โกง ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นให้เสียหายเป้นต้น ทรัพย์ในที่นี้หมายเอาทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะมีราคาค่างวดมากน้อยเพียงไรก็ตาม ถ้ามีเจตนาถือเอาสิ่งของนั้นมา เรียกว่า ลักทรัพย์
๓. กาเมสุ มิจฉาจาร หมายถึง การประพฤติผิดในกามการล่วงละเมิดคู่ครองผู้อื่น รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลต้องห้ามที่ไม่ควรละเมิด เช่น เป็นชู้ในชาย-หญิง ที่มีภรรยา-สามีแล้ว หรือหญิงที่ยังมีพ่อแม่ดูแลปกครองอยู่ ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้ เรียกว่า ประพฤติผิดในกาม
๔. มุสาวาท หมายถึง การพูดเท็จ พูดโกหก พูดหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ เป็นการพูดที่ให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เช่น เห็นก็บอกว่าไม่เห็น รู้ก็บอกว่าไม่รู้ เป็นต้น จะพูดด้วยปาก หรือเขียนเป็นหนังสือ ถ้าตั้งใจจะให้เขาเข้าใจผิดไปจากความจริง เรียกว่า พูดเท็จ
๕. ปิสุณาวาจา หมายถึง การพูดส่อเสียด พูดยุยงให้เขาแตกร้าวผิดใจกัน พูดยุงแยงตะแคงรั่ว โดยนำคำพูดของพวกนี้ไปเล่าให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง บางครั้งไม่พูดเปล่ายังแต่งเติมใส่ไฟเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อให้เขาโกรธกัน เรียกว่า พูดส่อเสียด
๖. ผรุสวาจา หมายถึง พูดหยาบคาย เป้นคำพูดที่ทำให้ผู้รับฟัง หรือผู้ที่ตนพูดใส่ได้รับความเจ็บแค้น เจ็บใจ โดยการพูดกระบทเสียดสีชาติกำเนิด ตระกูล ความรู้ รูปพรรณ สัณฐาน เป็นต้น ด้วยอาการเหยียดหยามดูหมิ่น ทำให้เขาเกิดความเจ็บซ้ำน้ำใจ หรือบันดาลโทสะขึ้น เรียกว่า พูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปะ หมายถึง พูดเพ้อเจ้อ เป็นการพูดเหลวไหลไม่เป็นประโยชน์ ไม่มีเหตุมีผล เข้าลักษณะเป็นการพูดพล่อยๆ สักแต่ว่ามีปากอยากจะพูดก็พูดไปหาแก่นสารอะไรไม่ได้ เรียกว่า พูดเพ้อเจ้อ
จัดเป็นมโนกรรม คือทำด้วยใจ ๓ อย่าง
๘. อภิชฌา หมายถึง ความโลภอยากได้ของผู้อื่น ความคิดเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น คิดเอาแต่ได้ของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยไม่คำนึงว่าควรหรือไม่ควร เมื่อยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ย่อมดิ้นรนแสวงหากลวิธีจะเอามาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นทางผิดหรือถูก
๙. พยาบาท หมายถึง ความคิดปองร้ายผู้อื่น ความผูกใจเจ็บและอยากแก้แค้น เป็นอาการที่ใจเกิดความขัดเคืองเคียดแค้นเมื่อถูกเขากระทบกระทั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดแล้วอยากทำตอบ แต่เมื่อยังไม่สบโอกาสก็ผูกใจเจ็บต่อไปว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้ในโอกาสหน้า
๑๐. มิจฉาทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิดจากคลองธรรม เป็นความเห็นผิดจากหลักความจริง เช่น เห็นว่าบาปบุญคุณโทษไม่มีผลให้ได้ดีหรือชั่ว การทำดีหรือชั่วจะให้ผลก็ต่อเมื่อมีผู้รู้เห็น เป็นต้น
บุคคลผู้ทำอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ อย่างนี้ แม้ข้อใดข้อหนึ่ง ท่านกล่าวว่ามีทุคติเป็นที่หวังในโลกหน้า เมื่อขณะยังมีชีวิตอยู่ก็จะประสบความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตกุศลกรรมบถ ๑๐
กุศลกรรมบถ หมายถึง กรรมที่เป็นทางแห่งกุศล ทางที่ผู้ใดทำแล้วถือว่าเป็นการทำความดี กุศลกรรมบถ เป็นการกระทำฝ่ายดี จึงมีคำอธิบายและวิธีปฏิบัติโดยความหมายที่ตรงข้ามกันกับอกุศลกรรมบถนั้น๑. ปาณาติปาตา เวรมณี หมายถึง การเว้นจากทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง
๒. อทินนาทานา เวรมณี หมายถึง การเว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการขโมย
๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี หมายถึง การเว้นจากประพฤติผิดในกาม
๔. มุสาวาทา เวรมณี หมายถึง เว้นจากการพูดเท็จ
๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี หมายถึง เว้นจากการพูดส่อเสียด
๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี หมายถึง เว้นจากการพูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี หมายถึง เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
๘. อนภิชฌา หมายถึง ความไม่โลภอยากได้ของเขา
๙. อพยาบาท หมายถึง ความไม่พยาบาทปองร้ายเขา
๑๐. สัมมาทิฏฐิ หมายถึง การเห็นชอบตามคลองธรรม
กุศลกรรมบถเป็นทางแห่งสุคติ เมื่อบุคคลทำกรรม ๑๐ อย่างนี้ ย่อมมีสุคติเป็นที่หวังในโลกหน้า หรือขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นต้นบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง
บุญกิริยาวัตถุ หมายถึง วิธีที่จะทำบุญ วิธีที่เมื่อทำแล้วได้ชื่อว่าเป็นการทำความดีและได้รับผลคือความสุข๑. ทานมัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการประพฤติถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. เวยยาวัจจมัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ กิจที่ถูกต้อง
๖. ปัตติทานมัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญความดีของคนอื่น
๘. ธัมมัสสวนมัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม คือ ฟังเทศน์ ฟังธรรมบรรยาย
๙. ธัมมเทสนามัย หมายถึง บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม คือตั้งใจเทศน์ ตั้งใจบรรยาย
๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ หมายถึง การทำความเห็นให้ตรง ตามความเป็นจริง
ในบุญกิริยาวัตถุนี้ ทิฏฐุชุกรรม เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเหตุแห่งการทำดีหรือชั่วในบุญกิริยาวัตถุข้อที่เหลือ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ สงเคราะห์ลงในบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทานมัย ปัตติทานมัย ธัมมเทสนามัย เป็นทานมัย อปจายนมัย เวยยาวัจจมัย เป็นสีลมัย ภาวนามัย ปัตตานุโมทนามัย ธัมมัสสวนมัย และทิฏฐุชุกรรม เป็นภาวนามัยธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ๑๐ อย่าง
๑. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใดๆ ของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้นๆ
๒. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า ความเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย
๓. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า อาการ กาย วาจาอย่างอื่นที่เราจะต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ยังมีอยู่อีก ไม่ใช่เพียงเท่านี้
๔. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า ตัวของเราเองติเตียนตัวของเราเองโดยศีลได้หรือไม่
๕. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว ติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่
๖. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น
๗. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัว เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว
๘. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
๙. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรายินดีที่สงัดหรือไม่
๑๐. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขินในเวลาเพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง
นาถกรณธรรม คือ ธรรมทำที่พึ่ง ๑๐ อย่าง
นาถกรณธรรม หมายถึง ธรรมทำที่พึ่ง ธรรมที่สร้างที่พึ่งให้แก่ตน คือธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามด้วยความเคารพ ย่อมเป็นที่พึ่งของผู้นั้น๑. สีล หมายถึง การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย
๒. พาหุสัจจะ หมายถึง ความเป็นผู้ได้สดับตรับฟังมาก
๓. กัลยาณมิตตตา หมายถึง ความเป็นผู้มีเพื่อนดีงาม
๔. โสวจัสสตา หมายถึง ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย
๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา หมายถึง ความขยันเอาใจใส่ในกิจธุระของเพื่อนภิกษุสามเณร
๖. ธัมมกามตา หมายถึง ความใคร่ในธรรมที่ชอบเป็นผู้ใคร่รู้ใคร่เห็น
๗. วิริยะ หมายถึง เพียรเพื่อจะละความชั่ว ประพฤติความดี
๘. สันโดษ หมายถึง ความยินดี ความพอใจ ด้วยผ้านุ่งผ้าห่ม อาหาร ที่นอนที่นั่งและยา ตามมีตามได้
๙. สติ หมายถึง การนึกขึ้นได้ก่อนที่จะทำ จะพูด จะคิด มิให้กิจนั้นๆ ดำเนินไปสู่ทางที่ผิด
๑๐. ปัญญา หมายถึง รอบรู้ในกองสังขารตามความเป็นจริง
กถาวัตถุคือถ้อยคำที่ควรพูด ๑๐ อย่าง
กถาวัตถุ หมายถึ สิ่งที่ควรพูด เรื่องที่ควรนำมาสนทนากัน เพราะเป้นเรื่องที่ก่อให้เกิดแต่คุณประโยชน์ทั้งแก่ผู้พูดและผู้ฟัง๑. อัปปิจฉกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชัดนำให้มีความปรารถนาน้อย
๒. สันตุฏฐิกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชักนำให้มีสันโดษ ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้
๓. ปวิเวกกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัดกายสงัดใจ
๔. อสังสัคคกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่
๕. วิริยารัมภกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารภความเพียร
๖. สีลกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชัดนำให้ตั้งอยู่ในศีล
๗. สมาธิกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้สงบ
๘. ปัญญากถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา
๙. วิมุตติกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส
๑๐.วิมุตติญาณทัสสนกถา หมายถึง ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดความรู้ความเห็นในความที่ใจพ้นจากกิเลส
อนุสสติ คือ อารมณ์ควรระลึก ๑๐ ประการ
อนุสสติ หมายถึง ความระลึกถึงเนืองๆ อารมณ์ที่ควรระลึกถึงอยู่เนืองๆ อนุสสติทั้ง ๑๐ เป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐานเพื่อทำใจให้สงบจากนิวรณ์ ๕๑. พุทธานุสสติ หมายถึง ความระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าอยู่เนืองๆ
๒. ธัมมานุสสติ หมายถึง ความระลึกถึงคุณของพระธรรมอยู่เนืองๆ
๓. สังฆานุสสติ หมายถึง ความระลึกถึงคุณของพระสงฆ์อยู่เนืองๆ
๔. สีลานุสสติ หมายถึง ความระลึกถึงศีลของตนอยู่เนืองๆ
๕. จาคานุสสติ หมายถึง ความระลึกถึงทานที่ตนเคยบริจาคอยู่เนืองๆ
๖. เทวตานุสสติ หมายถึง ความระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดาอยู่เนืองๆ
๗. มรณัสสติ หมายถึง ความระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตนอยู่เนืองๆ
๘. กายคตาสติ หมายถึง ความระลึกทั่วไปในกาย ให้เห็นว่า ไม่งาม น่าเกลียด โสโครกอยู่เนืองๆ
๙. อานาปานสติ หมายถึง ความตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่เนืองๆ
๑๐. อุปสมานุสสติ หมายถึง ความระลึกถึงพระคุณพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงอยู่เนืองๆ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น