ความสำคัญของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน สถาบันหลักที่สำคัญของสังคมไทยมี 3 สถาบัน ได้แก่ สถาบันชาติ สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ เราถือว่าสถาบันชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ส่วนสถาบันศาสนาซึ่งหมายถึง พระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชน พุทธศาสนิกชน หมายถึง ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนามีความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บางทีเราเรียกว่าพุทธศาสนิกชนว่า ชาวพุทธ ก็ได้ ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรทั้งประเทศประมาณ 65 ล้านคน มีผู้นับถือพระพุทธศาสนาประมาณ 62 ล้านคน มีประชากรเพียงประมาณ 3 ล้านคนเท่านั้นที่นับถือศาสนาอื่น ดังนั้น เราจึงกล่าวได้ว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนหรือชาวพุทธ
1. ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของพระรัตนตรัย
ก. พระพุทธ
ข. พระธรรม
ค. พระศาสนา
ง. พระสงฆ์
พุทธประวัติ 1
พุทธประวัติ หมายถึง ประวัติของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ศากยวงศ์ ผู้ปกครองเมืองกบิลพัสดุ์ และพระนางสิริมหามายาเจ้าหญิงจากโกลิยวงศ์ แห่งเมืองเทวทหะ ประสูติในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน อยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ ปัจจุบันอยู่ที่ตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาล เมื่อพระกุมารประสูติได้ 3 วัน อสิตดาบส ได้ขอเข้าเฝ้าชมพระบารมี ครั้งเห็นพระกุมาร จึงทำนายว่า พระกุมารนี้ถ้าอยู่ครองราชสมบัติจะได้เป็นพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าเสด็จออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลกเมื่อพระกุมารประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้มีพิธีขนาน พระนามและทำนายลักษณะของพระกุมาร พระกุมารได้พระนามว่า สิทธัตถะ แปลว่า ผู้มีความสำเร็จสมปรารถนา จากนั้นพราหมณ์ได้ทำนายพระลักษณะของพระกุมาร พราหมณ์ส่วนใหญ่ทำนายเหมือนที่อสิตดาบสได้ทำนายไว้ มีเพียงพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งชื่อ โกณฑัญญะ ทำนายว่า พระกุมารจะเสด็จออกบวช และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
2. ใครเป็นคนทำนายว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะเสด็จออกบวชและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ก. พราหมณ์
ข. พระอัสสชิ
ค.โกณฑัญญะ
ง. พระเจ้าสุทโธทนะ
พุทธประวัติ 2
เมื่อพระกุมารประสูติได้ 7 วัน พระมารดาก็สวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะจึงโปรดให้ พระนางปชาบดีโคตมีซึ่งเป็นพระขนิษฐา (น้องสาว) ของพระนางสิริมหามายาทรงเลี้ยงดูพระกุมารพระเจ้าสุทโธทนะต้องการให้พระราชโอรสครองราชสมบัติต่อจากพระองค์ ไม่ต้องการให้เสด็จออกบวช ครั้งเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัยอันสมควรที่จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน พระองค์จึงทรงให้เข้าศึกษาวิชาความรู้ในสำนักครูวิศวามิตร เจ้าชายสิทธัตถะทรงขยันหมั่นเพียร มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด สามารถศึกษาวิชาความรู้ต่าง ๆ จนจบในเวลาอันรวดเร็ว ครั้งเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ 16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะทรงโปรดให้สร้างปราสาท 3 หลัง ให้เป็นที่ประทับอย่างสุขสบายทั้ง 3 ฤดู และ ทรงขอเจ้าหญิงยโสธราหรือพิมพามาอภิเษกเป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะด้วยมี พระประสงค์จะโน้มน้าวใจให้เจ้าชายสิทธัตถะอยู่ครองราชสมบัติ
3. พระเจ้าสุทโธทนะใช้วิธีใดในการโน้มน้าวไม่ให้เจ้าชายสิทธัตถะออกบวช
ก. ให้ไปอยู่หัวเมือง
ข. ให้อภิเษกกับเจ้าหญิงยโสธรา
ค. ให้ไปศึกษาหาความรู้ตามที่ชอบ
ง. กักขังให้อยู่แต่ปราสาท ไม่ให้ออกไปไหน
พุทธประวัติ 3
เจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับอยู่ในปราสาททั้ง 3 หลังอย่างสุขสบาย วันหนึ่งได้เสด็จประพาสพระนคร ทรงพบเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายและนักบวช ทั้ง 4 นี้ รวมเรียกว่า เทวทูต เจ้าชายสิทธัตถะทรงสลดพระทัยที่ทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงพอพระทัยที่เห็นนักบวช พระองค์ทรงนำสิ่งที่พบเห็นมาพิจารณาไตร่ตรอง ทรงพบว่า ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ ทำอย่างไรจึง จะพ้นทุกข์ ทรงคิดว่าชีวิตการครองเรือนของพระองค์แม้จะเป็นกษัตริย์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่ก็ยังคับแคบจำกัด ไม่มีทางแก้ไขให้ตนเองและผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์ได้ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะคิดค้นหาทางพ้นทุกข์ได้ คือ การออกบวชเจ้าชายสิทธัตถะทรงครุ่นคิดเรื่องการเสด็จออกบวชอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้งพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางยโสธราประสูติพระโอรสพระนามว่า ราหุล แม้ว่าจะทรงห่วงใยพระโอรส แต่ด้วยมีพระประสงค์ที่จะหาทางช่วยเหลือชาวโลกให้พ้นทุกข์ หากอยู่อย่างนี้ต่อไปคงไม่มีทางพ้นทุกข์ได้ ดังนั้นในกลางดึกคืนนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกบวช โดยทรงม้าพระที่นั่งชื่อ กัณฐกะ และมีนายฉันนะ มหาดเล็กคนสนิทตามเสด็จ
4. ม้าพระที่นั่งที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงม้าออกผนวชมีชื่อว่าอะไร
ก. ฉันนะ
ข. กัณฐกะ
ค. ราหุล
ง. เทวฑูต
พุทธประวัติ 4
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ซึ่งเป็นแม่น้ำแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นสักกะ แคว้นโกศล และแคว้นวัชชี ทรงปลงผม โกนหนวดทิ้ง ทรงครองเพศเป็นนักบวช แล้วส่งนายฉันนะและม้ากัณฐกะกลับกรุงกบิลพัสดุ์ จากนั้นพระองค์เสด็จไปยังแคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ครองเมืองราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ทราบข่าวการเสด็จมาของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงเสด็จออกไปต้อนรับและทรงเชิญให้ครองเมืองด้วยกัน แต่พระสิทธัตถะทรงปฏิเสธ จากนั้นได้เสด็จไปยังสำนักอาฬารดาบส และสำนักอุททกดาบส ทรงศึกษาและค้นคว้าอยู่ที่สำนักทั้ง 2 นี้ จนได้สำเร็จฌานสูง แต่ทรงเห็นว่ายังไม่ใช่หนทางที่จะพ้นทุกข์ เพราะทรงรู้ว่าจิตใจของพระองค์ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง จึงอำลาอาจารย์ทั้งสองไปบำเพ็ญเพียรด้วยตนเอง โดยเสด็จมุ่งหน้าสู่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในตำบลพุทธคยา ประเทศอินเดีย
5. เจ้าชายสิทธัตถะทรงปลงครองเพศเป็นนักบวช ณ ที่ใด
ก. แคว้นมคธ
ข. ใต้ต้นไทร
ค. แคว้นโกศล
ง. ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
ตรัสรู้ 1
เมื่อเสด็จถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พระสิทธัตถะได้ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา คือ การทรมานกายให้ลำบากด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น กัดฟัน กลั้นลมหายใจ อดอาหาร เป็นต้น ทรงทรมานพระวรกายจนร่างกายผ่ายผอม โดยมีปัญจวัคคีย์ ซึ่งประกอบด้วยพราหมณ์ 5 คน ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ คอยปรนนิบัติดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาพระสิทธัตถะทรงเห็นว่า การทรมานกายให้ลำบากด้วยวิธีเหล่านี้ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงเลิก หันไปบำรุงพระวรกายให้มีกำลัง ฝ่ายปัญจวัคคีย์เห็นพระสิทธัตถะเลิกทรมานพระวรกาย ก็คิดว่าพระองค์คงไม่สามารถตรัสรู้ได้จึงแยกไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี
พระ สิทธัตถะทรงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิตตามหลักการของฌานหรือสมาธิที่ทรงเคย ปฏิบัติมาก่อนจากสำนักของอาฬารดาบสและอุททกดาบส โดยทรงยึดทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา
ก. เพราะเบื่อการเป็นพราหมณ์แล้ว
ข. เพราะไม่อยากเป็นพระอรหันต์แล้ว
ค. เพราะคิดว่าพระสิทธัตถะคงไม่สามารถตรัสรู้ได้
ง. เพราะที่นั้นเงียบสงบเหมาะกับการบำเพ็ญทุกรกิริยา
ตรัสรู้ 2
ครั้งถึงเช้าของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ขณะที่พระสิทธัตถะประทับอยู่ที่ใต้ต้นไทรหรือ ต้นนิโครธ ริมแม่น้ำเนรัญชรา นางสุชาดาลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม นำข้าวมธุปายาสมาถวาย ด้วยเข้าใจว่าเป็นเทวดา เมื่อฉันข้าวมธุปายาสแล้ว ทรงนำถาดไปลอยที่แม่น้ำแล้วทรงพักผ่อนที่ดงไม้สาละ ตอนเย็นเสด็จไปยังต้นมหาโพธิ์ ทรงรับหญ้าคา 8 กำ จากโสตถิยพราหมณ์นำมาปูลาดเป็นอาสนะ ณ ใต้ต้นมหาโพธิ์ ประทับนั่งหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก แล้วทรงตั้งพระทัยว่า ถ้าไม่ตรัสรู้ทาง พ้นทุกข์จะไม่ลุกไปไหน พระสิทธัตถะทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตทำให้จิตเป็นสมาธิ ในที่สุดเมื่อใกล้รุ่งของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดยทรงรู้แจ้งธรรม 4 ประการ เรียกว่า อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค รวมเวลาตั้งแต่เสด็จออกบวชจนถึงตรัสรู้ เป็นเวลา
6 ปี ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 35 พรรษา
7. พระสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดยทรงรู้เห็นธรรมใด
ก. อริยสัจ 4
ข. การดับทุกข์
ค. ทางสายกลาง
ง. พรหมวิหาร 4
การประกาศพระธรรม 1
เมื่อตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ พระองค์ทรงระลึกถึง อาฬารดาบสและอุททกดาบส ทรงทราบว่าสิ้นชีวิตแล้ว จึงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ก็ทรงทราบว่า ขณะนี้อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จึงได้เสด็จไปแสดงธรรมชื่อ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 การแสดงธรรมครั้งนี้เรียกว่า ปฐมเทศนา โกณฑัญญะเกิดดวงตาเห็นธรรมขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา ส่วนวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ได้ฟังธรรมแล้วก็เลื่อมใสจึงขอบวช จากนั้น ได้แสดงธรรมแก่พระภิกษุทั้ง 5 จนได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมด ขณะนั้นจึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก 6 องค์ รวมทั้งพระพุทธเจ้า และเกิดพระรัตนตรัยทั้ง 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
8. ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ คือธรรมในข้อใด
ก. อริยสัจ 4
ข. พรหมวิหาร 4
ค. หนทางสู่การดับทุกข์
ง. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
การประกาศพระธรรม 2
พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันพร้อมกับปัญจวัคคีย์ในระหว่างพรรษา มีชาวเมืองพาราณสีได้ฟังธรรมจนสำเร็จอรหันต์ และได้ขอบวชเป็นพระสงฆ์สาวกอีก 55 องค์ จึงมีพระอรหันต์ทั้งหมดรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย 61 องค์ ในจำนวนพระอรหันต์ 55 องค์หลังนี้ มีหัวหน้าชื่อ พระยสะ กุลบุตร ต่อมาบิดามารดาและอดีตภรรยาของพระยสะ กุลบุตร ได้มาฟังธรรมและเลื่อมใสประกาศตนเป็นอุบาสกและอุบาสิกา จึงนับเป็นอุบาสกและอุบาสิกาคนแรกของพระพุทธศาสนา
9. อุบาสกและอุบาสิกาคนแรกของพระพุทธศาสนาคือใคร
ก. ภรรยาของโกณฑัญญะ
ข. บิดามารดาของโกณฑัญญะ
ค. น้องของพระยสะ กุลบุตร
ง. บิดามารดาของพระยสะ กุลบุตร
การประกาศพระธรรม 3
พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่ามีสาวกจำนวนมากพอที่จะส่งไปเผยแผ่พระศาสนาได้แล้ว จึงทรงมอบหลักการในการไปประกาศเผยแผ่พระศาสนาแก่พระสาวกทั้งหมดว่า ขอให้แยกย้ายกันไปประกาศพระศาสนาเพื่อยังประโยชน์และความสุขแก่ชาวโลก เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลชาวโลก โดยแยกย้ายกันไปแห่งละ 1 องค์ อย่ารวมกันไป ภิกษุทั้งหลายแม้เราก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม จากนั้นสาวกทุกองค์ต่างแยกย้ายกันไปประกาศพระศาสนาตามเมืองและแคว้นต่าง ๆ ส่วนพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ระหว่างทางได้พบชายหนุ่ม 30 คน เรียกว่า กลุ่มภัททวัคคีย์ ทรงแสดงธรรมให้ฟัง ทั้งหมดได้สำเร็จพระอรหันต์กราบทูลขอบวชเป็นพระภิกษุ
10. พระพุทธเจ้าทรงเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ใด
ก. แคว้นวัชชี
ข. เมืองไพศาลี
ค. แคว้นพาราณสี
ง. ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
โปรดชฎิล
ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา มีสำนักของชฎิล 3 พี่น้อง ซึ่งเป็นนักบวชที่บูชาไฟ พี่ชายใหญ่ชื่อ อุรุเวลกัสสปะ คนกลางชื่อ นทีกัสสปะ และคนน้องชื่อ คยากัสสปะ มีบริวารทั้งสิ้น 1,000 คน เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ก็ได้เสด็จไปยังสำนักของชฎิล 3 พี่น้อง ด้วยทรงเห็นว่าชฎิล 3 พี่น้องเป็นที่เคารพนับถือของพระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองราชคฤห์ ถ้าทำให้ชฎิลนับถือคำสั่งสอนของพระองค์ได้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นมคธจะง่ายขึ้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในสำนักชฎิล 3 พี่น้องเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน ได้ทรงแสดงธรรมแก่ชฎิล 3 พี่น้องและบริวาร จนทั้งหมดได้หันมานับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และกราบทูลขอบวชเป็นพระสาวก พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมอบรมจนทั้งหมดได้สำเร็จพระอรหันต์
11. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ใครที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา
ก. ชฎิล 3 พี่น้อง
ข. พระเจ้าพิมพิสาร
ค. พราหมณ์ 3 พี่น้อง
ง. ชาวเมืองราชคฤห์
โปรดพระเจ้าพิมพิสาร
พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยชฎิล 3 พี่น้อง เสด็จเข้าเมืองราชคฤห์ ทรงพักอยู่ที่ลัฏฐิวันหรือ สวนตาลหนุ่ม พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าว จึงได้พาข้าราชบริพารไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟัง พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพาร และประชาชนที่เข้าเฝ้าเกิดความเลื่อมใสศรัทธาประกาศตนขอนับถือพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสารได้สำเร็จมรรคผลเป็นโสดาบัน พระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ในวันรุ่งขึ้นพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก หลังจากถวายอาหารเสร็จแล้วพระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำใส่พระหัตถ์พระพุทธเจ้า ยกอุทยานสวนป่าไผ่ที่เรียกว่า พระเวฬุวัน ถวายเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก พระเวฬุวันจึงเป็นวัดพระพุทธศาสนาแห่งแรกของโลก
12. วัดพระพุทธศาสนาแห่งแรกของโลก คือวัดใด
ก. วัดพระแก้ว
ข. วัดพระเวฬุวัน
ค. วัดมงคลบพิตร
ง. วัดอรุณราชวรมหาวิหาร
พระอัครสาวก
ในเมืองราชคฤห์มีชายหนุ่ม 2 คน เป็นเพื่อนรักกันชื่อ อุปติสสะ และ โกลิตะ ได้พาพรรคพวกบริวาร 250 คน ไปบวชอยู่ในสำนักสญชัยปริพาชกเพื่อแสวงหาทางตรัสรู้ แต่เรียนจบความรู้ของสญชัยปริพาชกแล้ว ก็ยังไม่พบทางตรัสรู้ จึงลาออกจากสำนักสญชัยปริพาชก แยกย้ายกันไปแสวงหาหนทางตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ก็สัญญากันว่า ถ้าใครพบทางตรัสรู้ก่อนก็ให้มาบอกด้วย อุปติสสะได้พบพระอัสสชิ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในอิริยาบถได้เข้าไปขอให้แสดงธรรมให้ฟัง อุปติสสะเกิดความเข้าใจในธรรมบรรลุมรรคผลเป็นโสดาบัน จากนั้นได้ลาพระอัสสชิและกลับไปบอกโกลิตะ โกลิตะได้ฟังธรรมที่อุปติสสะนำมาบอกก็ได้บรรลุมรรคผลเป็นโสดาบันเช่นกัน จึง ได้พาพรรคพวกบริวารไปเข้าเฝ้าขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน อุปติสสะเมื่อบวชแล้วได้ชื่อใหม่ว่าสารีบุตร ท่านบวชได้ 15 วัน จึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ ต่อมาได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็น อัครสาวกฝ่ายขวา ผู้มีความเป็นเลิศด้านปัญญา ส่วนโกลิตะได้ชื่อใหม่ว่า โมคคัลลานะ บวชได้ 7 วัน ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และได้รับการยกย่องให้เป็น อัครสาวกฝ่ายซ้าย ผู้มีความเป็นเลิศด้านมีฤทธิ์ คือมีความสามารถพิเศษที่ได้จากการทำสมาธิ เช่น เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นต้น
13. ใครได้รับการยกย่องให้เป็นอัครสาวกฝ่ายขวา
ก. โกลิตะ
ข. พระอัสสชิ
ค. พระสารีบุตร
ง. พระโมคคัลลานะ
แสดงโอวาทปาฏิโมกข์
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ในปีถัดมา หลังจากตรัสรู้ ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ที่ออกไปเผยแผ่พระธรรมยังที่ต่าง ๆ ได้กลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย จำนวน 1,250 รูป พระพุทธเจ้าทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงทรงให้จัดประชุมพระสาวกขึ้นในวันนั้น และทรงแสดงธรรมที่เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นพระธรรมที่ถือว่าเป็นหลักการของพระพุทธศาสนา คือ สอนให้ละเว้นการทำความชั่ว ให้กระทำแต่ความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
14. พระธรรมที่ถือว่าเป็นหลักการของพระพุทธศาสนา คือข้อใด
ก. อริยสัจ 4
ข. อิทธิบาท 4
ค. พรหมวิหาร 4
ง. โอวาทปาฏิโมกข์
จาตุรงคสันนิบาต
1. เป็นวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง เดือน 3
2. พระสงฆ์ที่มาประชุมมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
3. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
4. พระสงฆ์ทั้งหมดพระพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้
ด้วยเหตุนี้การประชุมครั้งนี้จึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต
15. ข้อใดไม่ใช่ ลักษณะของ จาตุรงคสันนิบาต
ก. วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง
ข. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
ค. พระสงฆ์นัดหมายกันมาประชุมพร้อมกัน
ง. พระสงฆ์ทั้งหมดพระพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้
พุทธบริษัท 4
พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกได้เผยแผ่พระศาสนาไปยังเมืองและแคว้นต่าง ๆ ทั้งแคว้นเล็กและแคว้นใหญ่ จนพระพุทธศาสนาเริ่มเป็นปึกแผ่นมั่นคง โดยมีบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญ 4 กลุ่ม ซึ่งเรียกว่า พุทธบริษัท 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาเป็นเวลาทั้งหมด 45 ปี รวมพระชนมายุได้ 80 พรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 จึงเสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ก่อนปรินิพพานได้เทศนาแก่ สุภัททปริพาชก จนได้สำเร็จอรหันต์และบวชเป็นพระสาวกองค์สุดท้าย
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว พระสงฆ์ได้สืบทอดพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาได้รับการเผยแผ่ไปยังประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ก. มหานามะ
ข. พระสารีบุตร
ค. พระเจ้าพิมพิสาร
ง. สุภัททปริพาชก
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น