ติกะ คือ หมวด ๓
รัตนะ ๓ อย่าง
๑.พระพุทธ คือ ผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบพระองค์เองก่อนแล้ว ทรงมีพระกรุณาคุณสอนให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย
๒.พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธ เรียกรวมกันว่า พระธรรมวินัยแบ่งออกได้ ๓ ประเภท คือ ปริยัติธรรม ปฏิปัตติธรรม และ ปฏิเวธธรรม
๓.พระสงฆ์ คือ หมู่ชนที่ฟังคำสอนของพระพุทธแล้วเลื่อมใสออกบวช ปฏิบัติตามคำสอนนั้นอย่างเคร่งครัด เมื่อปฏิบัติได้แล้วก็สอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตามด้วย พระสงฆ์มี ๒ ประเภท คือ อริยสงฆ์และสมมติสงฆ์
คุณของรัตนะ ๓ อย่าง
พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว
พระสงฆ์ปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนผู้อื่นให้กระทำตามด้วย
๑.คำว่า “รู้ดีรู้ชอบ” หมายถึง ทรงรู้ความจริงอันประเสริฐ ๔ อย่าง คือ รู้ว่าชาติ ชรา มรณะเป็นต้น เป็นทุกข์จริง.ตัณหา เป็นสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์จริง. ความที่ตัณหาดับไปโดยไม่เหลือ เป็นความดับทุกข์ได้จริง. มรรค คือ ปัญญาเห็นชอบ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ได้จริง เรียกว่า รู้อริยสัจ
๒.คำว่า “ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว” หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าย่อมไม่ตกไปอยู่ในสถานที่ต่ำช้าใน ภพทั้ง ๒ คือ ในภพนี้ มีถูกกักขังในเรือนจำ เกิดในถื่นทุรกันดาร เป็นต้น ในภพหน้า ได้แก่ อบายภูมิทั้ง ๔ มี ตกนรก เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
๓.คำว่า “ปฏิบัติชอบ” หมายถึง พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อความรู้ยิ่ง ให้สมกับเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม เมื่อปฏิบัติได้ดังนั้นแล้ว จึงสั่งสอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตามด้วย พุทธศาสนาที่ยังดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะพระสงฆ์ช่วยกันเผยแผ่พระธรรม ของพระพุทธเจ้า
อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ๓ อย่าง
๒. ทรงสั่งสอนมีเหตุผล คือ ทรงสั่งสอนให้ผู้ฟังสามารถใช้วิจารณญาณพิจารณาให้เห็นจริงได้ด้วยตนเอง ว่าเรื่องที่พระองค์ตรัสสอนนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่อย่างไร เป็นการเปิดเสรีภาพทางความคิด ไม่มีการบังคับให้เชื่อตาม
๓. ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือ ทรงสั่งสอนให้มีความเต็มใจที่จะปฏิบัติเอง ไม่มีการบังคับให้ต้องปฏิบัติ แต่ถ้าใครสามารถปฏิบัติตามได้ ย่อมได้รับผลตามสมควรแก่การปฏิบัติได้อย่างไม่จำกัดกาลเวลา โดยไม่ต้องรอใครมาหยิบยื่นให้ เป็นการเปิดเสรีภาพในการทำความดี
โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ อย่าง
๑.สัพพปาปัสสะ อกรณัง หมายถึง การงดเว้นจากทุจริต จากบาปกรรมทุกอย่าง ทั้งทายกาย วาจา ใจ พยายามลดละที่จะทำซ้ำ และป้องกันไม่ให้เกิดมีขึ้นในจิตสันดาน๒.กุสลัสสูปสัมปทา หมายถึง การทำสุจริต เป็นการทำความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ ให้มีในตนอยู่เสมอ ตั้งใจทำความดีใหม่เพิ่มขึ้น และรักษาความดีเดิมที่มีอยู่
๓.สจิตตปริโยทปนัง หมายถึง การทำใจให้หมดจด ให้ปลอดจากกิเลส ที่ทำให้เศร้าหมอง มีโลก โกรธ หลง เป็นต้น
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะมีอยู่อย่างมากหลาย แต่เมื่อกล่าวโดยย่อแล้ว ก็รวมลงอยู่ในพระโอวาททั้ง ๓ นี้ ที่มีคติจำง่ายๆ ว่า ละชั่ว ทำดี จิตแจ่มใส ซึ่งมักเรียกกันว่า โอวาทปาฏิโมกข์ พระโอวาททั้ง ๓ จัดลงในไตรสิกขา คือ เว้น ทุจริต= ศีล ประกาอบสุจริต = สมาธิ ทำใจของตนให้หมดจด= ปัญญา
ทุจริต ๓ อย่าง
ทุจริต หมายถึง การประพฤติชั่ว การทำผิด การทำไม่ดี มีที่เกิด ๓ ทาง คือ กาย วาจา ใจ๑.ประพฤติชั่วทางกาย มี ๓ อย่างคือ
-ฆ่าสัตว์ ทั้งทีเป็นมนุษย์ตั้งแต่ถือกำเนิดในครรภ์รวมถึงสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด
-ลักทรัพย์ ทั้งที่เป็นสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ จะมีราคาค่างวดมากน้อยก็ตาม ถ้าเจ้าของไม่ได้ให้ด้วยกายหรือวาจาหยิบเอาของนั้นมาถือว่าเป็นการลัก
-ประพฤติผิดในกาม เป็นชู้ในชายหญิงที่มีภรรยาสามีแล้ว
๒.ประพฤติชั่วทางวาจา มี ๔ อย่างคือ-พูดเท็จ พูดให้คลาดจากความเป็นจริง รวมถึงการเขียนเป็นหนังสือด้วย
-พูดส่อเสียด พูดยุแหย่เพื่อให้คน ๒ ฝ่ายผิดใจกัน
-พูดคำหยาบ พูดคำที่ทำให้ผู้ฟังเจ็บหรือบันดาลโทสะ
-พูดเพ้อเจ้อ พูดพล่อยๆ ไม่เป็นแก่นสาร
๓.ประพฤติชั่วทางใจ มี ๓ อย่าง คือ-โลภอยากได้ของเขา คิดเอาแต่ได้ของคนอื่น โดยไม่คำนึงว่าควรหรือไม่ควร
-พยาบาทปองร้ายเขา คิดปองร้ายคนที่ตนไม่ชอบใจ
-เห็นผิดจากคลองธรรม เห็นว่าบาปบุญคุณโทษไม่มีผล การทำดีหรือชั่วจะใด้รับผลต่อเมื่อมีผู้รู้เห็น
การประพฤติชั่วทั้ง ๓ ทางนั้น ประพฤติชั่วทางใจมีโทษรุนแรงที่สุดกว่าการทำบาปกรรมอื่นๆ เป็นเหตุให้คนที่มีความเห็นอย่างนั้นปฏิเสธเรื่องบาปบุญคุณโทษ สามารถทำความชั่วได้ทุกอย่างทุจริตทั้ง ๓ นี้ เป็นทางนำไปสู่ความทุกข์เดือดร้อนไม่มีความสุขความเจริญ จึงไม่ควรประพฤติ ผู้ทำทุจริตย่อมได้รับโทษ คือ
-ตนเองก็ตำหนิตนเองได้
-ถูกตำหนิจากผู้รู้
-ชื่อเสียงทางไม่ดีขจรไป
-ใกล้สิ้นใจก็หลงเพ้อ
-เสียชีวิตแล้วไปเกิดในทุคติ
สุจริต ๓ อย่าง
การประพฤติในทางที่ดีงามถูกต้อง ชื่อว่า สุจริต เกิดขึ้นได้ ๓ ทางตามความประพฤติ
๑. ประพฤติชอบด้วยกาย เรียกว่า กายสุจริต
-เว้นจากการฆ่าสัตว์
-เว้นจากการลักทรัพย์
-เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๒.ประพฤติชอบด้วยวาจา เรียกว่า วจีสุจริต-เว้นจากการพูดเท็จ
-เว้นจากการพูดส่อเสียด
-เว้นจากการพูดคำหยาบ
-เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
๓.ประพฤติชอบด้วยใจ เรียกว่า มโนสุจริต-ไม่โลภอยากได้ของเขา
-ไม่พยาบาทปองร้ายเขา
-ไม่เห็นผิดจากคลองธรรม
๑-๒ คำว่า “เว้น ในการประพฤติชอบทางกาย วาจา หมายถึง การตั้งใจหลีกเลี่ยง งดที่จะไม่ทำความชั่วทางกาย วาจา การงดเว้น เรียกว่า วิรัติ มี ๓ อย่าง คือ สัมปัตตวิรัติ งดเว้นได้เฉพาะหน้า แม้สบโอกาสที่จะทำความชั่ว ก็ยับยั้งใจไม่ให้ทำได้ สมาทานวิรัติ งดเว้นได้ด้วยการสมาทาน ด้วยเจตนาที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำความชั่ว สมุจเฉทวิรัติ งดเว้นได้เด็ดขาด ไม่ทำความชั่วตลอดชีวิต เป็นการงดเว้นได้ของพระอริยบุคคล๓.คำว่า “ไม่” ในการประพฤติชอบทางใจ หมายถึงไม่คิดอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่คิดมุ่งร้ายจองล้างจองผลาณผู้อื่น “เห็นชอบตามคลองธรรม” หมายถึง มีความเห็นที่ถูกต้องในความเห็น ๑๐ อย่าง เช่น เห็นว่า การให้ทานมีผลจริง การบูชามีผลจริง เป็นต้น
สุจริตทั้ง ๓ เป็นสิ่งที่ควรประพฤติ เป็นทางนำไปสู่ความสุขความเจริญ ผู้ทำความดีย่อมได้รับประโยชน์ คือ
-ตัวเองตำหนิตัวเองไม่ได้
-ได้รับการสรรเสริญยกย่องจากผู้รู้
-ชื่อเสียงดีงามย่อมขจรไป
-เวลาใกล้สิ้นใจมีสติไม่หลงเพ้อ
-เสียชีวิตแล้วไปเกิดในสุคติ
อกุศลมูล ๓ อย่าง
๑.โลภะ หมายถึง ความโลภอยากได้อันเป็นไปในทาง ทุจริต เป็นต้นเหตุของความชั่วความไม่ดีต่างๆ เช่น ลัก ขโมย โกง ปล้น เป็นต้น เป็นอกุศลที่ทำลายศีลธรรมอันดีงาม คือ การบริจาค รู้จักการเสียสละและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น
๒.โทสะ หมายถึง จิตที่คิดประทุษร้ายผู้อื่น เป็นต้นเหตุของการก่อวิวาททำร้ายกัน บันดาลโทสะถึงที่สุดอาจฆ่ากันได้เมื่อทำตอบโดยตรงไม่ได้ก็กลั่นแกล้งกัน ทำให้อยู่กันอย่างเดือดร้อนหวาดระแวงไม่เป็นสุข โทสะ เกิดจากมานะ ความถือตัว กำจัด ได้ด้วยเมตตา มีความรักความปรารถนาดีต่อกัน
๓.โมหะ หมายถึง ความหลง ความเขลา ความรู้ไม่จริง เป็นต้นเหตุให้เกิดความประมาท เชื่อง่าย หูเบา เป็นต้นเหตุให้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่เชื่อว่าบาปบุญคุณโทษมีจริงโมหะเกิดจากมิจฉาทิฏฐิ ความคิดเห็นที่ผิด กำจัดได้ด้วยปัญญาพิจารณาให้เห็นประจักษ์ในสิ่งต่างๆ ก่อนแล้วจึงเชื่อ
อกุศลมูลทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นเหตุทำลายคุณงามความดีของมนุษย์และเป็นเหตุแห่งความทุกข์เดือดร้อนได้ อย่างไม่สิ้นสุดฉะนั้น อย่าให้เกิดมีขึ้นในจิตใจ
กุศลมูล ๓
๑. ทาน สละสิ่งของๆ ตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
๒. ปัพพัชชา ถือบวช เป็นอุบายเว้นจากเบียดเบียนกันและกัน
๓. มาตาปิตุอุปัฏฐาน ปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข
อปัณณกปฏิปทา คือปฏิบัติใม่ผิด ๓ อย่าง๑. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ยินดียินร้ายเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ
๒. โภชเน มัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการกินอาหารแต่พอควร ไม่มากไม่น้อย
๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรเพื่อชำระใจให้หมดจด ไม่เห็นแก่นอนมากนัก
บุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่าง
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
สามัญลักษณะ ๓ อย่าง
๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง
๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์
๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตน
_________________________________________________________________________________
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น